ผู้จำหน่ายแอนติไวรัสชื่อดังสัญชาติรัสเซียอย่าง Kaspersky ได้ยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการควบคุมการค้าหรือแอนติทรัสต์ในหลายประเทศว่า ไมโครซอฟท์กีดกันตนเองจากการค้าอย่างไม่ยุติธรรม โดยเริ่มตั้งแต่ในรัสเซียเอง จนลามมายื่นต่อคณะกรรมการของสหภาพยุโรป และประเทศเยอรมันด้วย
ทั้งนี้เนื่องจากไมโครซอฟท์ตั้งค่าให้ผู้ที่ติดตั้งหรืออัพเกรดวินโดวส์ 10 ใช้ซอฟต์แวร์ความปลอดภัยของตนเองที่ชื่อ Windows Defender โดยดีฟอลต์ แม้วินโดวส์รุ่นก่อนหน้าจะติดตั้งแอนติไวรัสของเธิร์ดปาร์ตี้เจ้าอื่น อย่าง Kaspersky อยู่แล้วก็ตาม โดยแสดงข้อความเตือนหลังอัพเกรดเสร็จว่า แอนติไวรัสเจ้าอื่นยังไม่สามารถทำงานเข้ากับวินโดวส์รุ่นใหม่นี้ได้ จึงปิดการทำงานให้
นอกจากนี้ Kaspersky ยังอ้างว่าไมโครซอฟท์ไม่ได้ให้เวลาบริษัทในการทดสอบผลิตภัณฑ์บนวินโดวส์ตัวใหม่ได้มากเพียงพอจนสามารถทำงานเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงวินโดวส์ 10 ยังชอบแสดงหน้าต่างป๊อบอัพเวลาผู้ใช้พยายามติดตั้งหรือรันแอนติไวรัสจากเธิร์ดปาร์ตี้ว่า ไม่ใช่โปรแกรมที่ไมโครซอฟท์ให้ความน่าเชื่อถือ จะยัง (ฝืน) ติดตั้งหรือรันอยู่อีกไหม อยู่ตลอดเวลา
ขณะที่ทางไมโครซอฟท์โต้กลับว่า เป็นหน้าที่ของตนเองที่ต้องคอยปกป้องความปลอดภัยของลูกค้า ไม่ให้ติดตั้งเธิร์ดปาร์ตี้พร่ำเพรื่อ และมั่นใจว่า Window Defender สามารถปกป้องผู้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว นอกจากนี้ การที่มีแอนติไวรัสแบบฟรีติดตั้งมาให้เรียบร้อยบนระบบปฏิบัติการ ถือว่าปลอดภัยอย่างมากโดยเฉพาะกับผู้ใช้ที่ไม่สามารถซื้อแอนติไวรัสเพิ่มเติมได้
ที่มา : http://thehackernews.com/2017/06/kaspersky-microsoft-antitrust.html
