หน้าแรก Internet of Things ในอีก 5 ปี วงการการเงินเตรียมเลิกใช้ Password กันแล้ว!!

ในอีก 5 ปี วงการการเงินเตรียมเลิกใช้ Password กันแล้ว!!

แบ่งปัน
วีซ่า เชื่อว่าอุตสาหกรรมการชำระเงินสามารถเปลี่ยนวิธีการระบุตัวตนเป็นวิธีอื่นนอกจากพาสส์เวิร์ดได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า

ความก้าวหน้าในการตรวจสอบการยืนยันตัวตน และเทคโนโลยีในการป้องกันการโจรกรรมข้อมูลได้ทำให้ขั้นตอนในการระบุตัวตนของผู้ถือบัตร (หรือ cardholder verification methods: CVM) อาทิ ลายเซ็น และ PIN เป็นทางเลือกสำหรับร้านค้าและผู้ออกบัตรในบางสถานการณ์ และเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2561 ลายเซ็นกลายเป็นเพียงตัวเลือกในการระบุตัวตนสำหรับร้านค้าในเครือข่ายการชำระเงินของวีซ่าที่รองรับบัตร ชิป EMV® ความสามารถในการักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้นด้วยชิปที่ฝังอยู่ในบัตร

นอกจากนั้นสถาบันการเงินและร้านค้าต่างๆ สามารถแชร์ข้อมูลกันได้มากกว่าเดิมถึงสิบเท่าเพื่อเข้าสู่การตัดสินใจในการบริหารความเสี่ยงเรื่องการยืนยันตัวตนของผู้ถือบัตรที่ทำการซื้อสินค้าผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่ หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ โดยไม่ต้องให้ผู้บริโภคทำการยืนยันตัวตนเพิ่มเติม และด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องของปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence: AI) ยังช่วยป้องกันและตรวจจับการฉ้อโกงบัตรได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงเปรียบเสมือนใบเบิกทางให้กับความเป็นไปได้ใหม่ๆสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ เพราะผู้บริโภคมีความมั่นใจในระบบความปลอดภัยของการชำระเงินมากยิ่งขึ้น

จากการที่ระบบนิเวศมีวิวัฒนาการความปลอดภัยมากขึ้น ทำให้วีซ่าเล็งเห็นความเป็นไปได้ในอนาคตที่จะสามารถลดหรือข้ามขั้นตอนการตรวจสอบในรูปแบบเดิม ๆได้ ผ่านการบูรณาการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และไบโอเมตริกซ์

จากผลสำรวจของวีซ่าใน พ.ศ. 2561 เผยให้เห็นว่าผู้บริโภคยินดีที่จะใช้ไบโอเมตริกซ์ เพราะมีความสะดวก รวดเร็ว และเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการใช้พาสส์เวิร์ด โดย 86 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคที่ทำแบบสำรวจสนใจที่จะลองใช้ไบโอเมตริกซ์เพื่อยืนยันตัวตนหรือทำการชำระเงิน นอกจากนี้มากกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ของผู้ทำแบบสำรวจมีความคุ้นเคยกับการใช้ไบโอเมตริกซ์ ประกอบกับความก้าวหน้าในอุปกรณ์มือถือที่ส่งผลให้การแสกนลายนิ้วมือนั้นมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น และการใช้เสียงเพื่อยืนยันตัวตนมีความแม่นยำมากขึ้น ปัจจุบันอาจถึงเวลาแล้วที่จะนำเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์มาใช้ในแอพพลิเคชั่นของธนาคารเพื่อมอบประสบการณ์การชำระเงินที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า

สำหรับบุคคลที่ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัย ผู้ผลิตอุปกรณ์มือถือได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องการขโมยข้อมูลไบโอเมตริกซ์ โดยได้มีการจัดเก็บข้อมูลไว้ในเครื่องของผู้ใช้แทนที่จะเก็บไว้ในคลาวด์ และเข้ารหัสแม่แบบไบโอเมตริกซ์ ด้วยการแทนคุณลักษณะไบโอเมตริกซ์จริงด้วยอัลกอริทึม วิธีการนี้จะช่วยให้แต่ละบุคคลสามารถเลือกที่จะจัดเก็บข้อมูลหรือลบข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ นอกจากนี้ ความแม่นยำในการยืนยันตัวตน ยังถูกเสริมให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยการตรวจจับแบบ liveness ที่ใช้เครื่องสแกนลายนิ้วมือและซอฟต์แวร์ที่สามารถแยกแยะได้ว่าลายนิ้วมือนั้นถูกคัดลอกมาหรือไม่ หรือการสแกนใบหน้าเป็นหน้ากากหรือใบหน้าของบุคคลจริง

เป็นระยะเวลาประมาณ 6 ปีที่สมาร์ทโฟนได้ทำเทคโนโลยีแสกนลายนิ้วมือมาใช้ และด้วยช่วงเวลาสั้นๆ นี่เองผู้บริโภคกลับมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการยืนยันตัวตนที่สะดวกและรวดเร็วขึ้นนั้น จะเติบโตไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของสินค้าและบริการในระบบดิจิตอล และความอดทนของผู้บริโภคที่ต้องจดจำพาสส์เวิร์ดสำหรับทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ดังนั้นการที่จะยกเลิกการใช้พาสส์เวิร์ดแล้วเปลี่ยนเป็นวิธีการยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์นอกจากจะเป็นสิ่งที่จำเป็นแล้ว และยังสามารถเริ่มได้เลยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ที่มา : ข่าวพีอาร์