หน้าแรก Home feature บทความพิเศษ : 4 มูลเหตุที่ทำให้ VPN แบบฟรีๆ ไม่น่าไว้วางใจ

บทความพิเศษ : 4 มูลเหตุที่ทำให้ VPN แบบฟรีๆ ไม่น่าไว้วางใจ

แบ่งปัน

มีคำถามว่า VPN แบบที่ให้ใช้ฟรี จะเชื่อใจได้หรือ? คำตอบคือ “ไม่” เพราะ VPN ที่ใหใช้กันฟรีๆ นั้นไม่ได้ปลอดภัย เผลอๆ อาจจะแอบเก็บข้อมูลและเนื้อหาที่เราใช้งานไปเสียอีกต่างหาก

VPN ที่ให้มาฟรีเหล่านั้น ไม่มีใครการันตีได้ว่าพวกมันไม่แอบเก็บข้อมูลคุณ พวกมันอาจจะคอยดูข้อมูลเลขไอพีแอดเดรส, ระยะเวลาการใช้บริการเว็บที่คุณใช้งาน และต้องบอกว่า จริงๆ แล้วมันก็คือข้อมูลทุกสิ่งแหล่ะ ที่คุณอยากป้องกันไม่ให้คนอื่นเห็นคุณถึงมาใช้ VPN ฟรีเหล่านี้

ผลวิจัยแสดงให้เห็นกว่ากว่า 84% ของบริการฟรี VPN นั้นได้ปล่อยข้อมูลกิจกรรมต่างๆ ของยูสเซอร์รั่วไหลออกมา ในขณะที่ 75% มีการแทร็กข้อมูลไลบราลีต่างๆ อีกทั้งมีกว่า 38% ของแอพฯ VPN ที่ให้บริการฟรีนั้นมีมัลแวร์ซุกมาอยู่ด้วย จากการศึกษานี้ยังเปิดเผยต่อไปว่าแอพฯ VPN ฟรีส่วนใหญ่มีลิงก์มาจากประเทศจีน นอกจากนั้นแล้ว 86% ของแอพฯ VPN ฟรี นั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ใช้ รวมถึงไม่ได้รับมาตรฐานตามนโยบายเรื่องของความเป็นส่วนตัว

และสิ่งที่เรารวบรวมมาให้นี้เป็น 4 ประเด็นสำคัญที่ตอกย้ำว่า คุณ “ไม่ควร” ใช้แอพฯ ฟรี VPN ที่เป็นของฟรีเลย

1. ไม่ค่อยโปร่งใส่

ในการป้องกันข้อมูลของยูสเซอร์นั้น ผู้ให้บริการ VPN จำเป็นต้องมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์และผู้เชี่ยวชาญในการทำงาน ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาก็ต้องได้รับการจ่ายเงินจากลูกค้า เพื่อดูแลข้อมูลของพวกเขานั่นเอง คือถ้าคุณไม่จ่ายเงินคุณจะคิดว่าเขาจะดูแลความปลอดภัยให้กับข้อมูลของคุณไหมล่ะ? ส่วน VPN ฟรีนั้น เขาก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน เพียงแต่ส่วนใหญ่เขาจะเอาไปเก็บเงินกับพวกเธิร์ดปาร์ตี้อื่นๆ โดยเอาข้อมูลของเราไปแชร์ให้พวกเขานั่นเอง ซึ่งการขาดความโปร่งใสแบบนี้ทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้นนั่นเอง

2. ใช้ VPN ฟรีแล้วรู้สึกอืดอาด

หนึ่งในเหตุผลหลักในการที่พวกเราต้องการใช้ VPN ก็คือการเข้าใช้งานบริการอย่างเช่นพวก Netflix, HBO และ Hulu โดยเฉพาะเมื่อเราต้องเดินทางไปเมืองหรือประเทศที่เขาไม่อนุญาตให้ หลายคนหา VPN แบบฟรีๆ มาใช้เพื่อที่จะเข้าใช้บริการดังกล่าวได้ในพื้นที่ที่มีการห้ามเซอร์วิสเหล่านั้น แต่คุณเคยสังเกตุไหมว่าทำไมใช้ VPN ฟรีแล้วรู้สึกว่าอินเทอร์เน็ตช้าลงเรื่อยๆ จนบางทีเข้าเว็บไซต์เหล่านั้นไม่ได้

ทั้งนี้ก็เพราะ VPN ฟรีบางตัวนั้นขายแบนด์วิธของคุณอย่างเช่นเจ้า Hola VPN ซึ่งเมื่อย้อนไปปี 2015 มันถูกตรวจจับได้ว่าแอพขโมยแบนด์วิธของยูสเซอร์และนำไปขายต่อ และแน่นอนคุณก็คงไม่มีแบนด์วิธพอที่จะเข้าถึงบริการดังกล่าว ดังนั้นหากใครคิดจะใช้เซอร์วิสบริการพวก Netflix HBO และอื่นๆ แนะนำว่าลองคิดดีๆ ก่อนจะใช้ VPN แบบฟรี

3. อาจจะมีมัลแวร์

คืออย่างที่บอกไปพวก VPN ฟรีๆ เริ่มเก็บข้อมูลต่างๆ ของคุณ ขโมยแบนด์วิธของคุณ และสุดท้ายมันก็นำไปขายทอดตลาด หรือก็เปิดโปงกิจกรรต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลให้สบช่องให้มัลแวร์เข้ามาในระบบคุณได้ง่าย และในท้ายที่สุดอาจจะขโมยข้อมูลสำคัญคุณต่อไปอีกด้วย

4. มีโฆษณาบ่อยๆ

คือ การใช้ VPN แบบฟรี นั้นบางทีก็ต้องแลกด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง โดยฟรี VPN เหล่านี้มักจะบอกคุณว่าจะเก็บข้อมูลคุณไว้เป็นอย่างดีจากคนอื่นๆ แต่ในความเป็นจริงๆ แล้ว พวกมันกำลังหลอกคุณอยู่

ปกติแล้ว VPN ฟรีทั้งหลายจะเก็บล็อกกิจกรรมที่คุณใช้งานบนโลกออนไลน์ และคอยสอดส่องดูว่าคุณเข้าเว็บไหนบ่อยๆ เรียกได้ว่าเห็นเลยว่าเว็บไหนคุณเข้าไปใช้งาน บางเว็บนั้นเป็นเว็บที่ไม่ได้มีการเข้ารหัส แน่นอนว่าทำให้ผู้ให้บริการฟรี VPN เห็นคอนเทนต์ทั้งหมดที่คุณใช้งาน และแน่นอนพวกมันจะรวบรวมข้อมูลของคุณ นำไปขายต่อในแง่ของการโฆษณา และทำการรีไดเร็กไปไซต์โฆษณาที่มันขายต่อไปให้กับเขานั่นเอง จึงไม่แปลกที่คุณจะเห็นโฆษณาบ่อยๆ

VPN แบบมีค่าใช้จ่าย ให้ความคุ้มค่ากว่า

ถ้าคุณเป็นยูสเซอร์ใช้อินเทอร์เน็ตในระดับแอดวานซ์ ขอแนะนำให้ลงทุนกับเงินสักนิดจ่ายค่า VPN ไป เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายข้างต้น เพราะ VPN เสียเงินจะให้ประโยชน์มากกว่าจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและกิจกรรมบนออนไลน์อย่างแท้จริง, เข้าถึงเซอร์วิสต่างๆอย่างเช่น Netflix, Amazon Prime, Hulu จากสถานที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ในแบบอินเทอร์เน็ตธรรมดา, ให้ความเร็วและไม่หน่วงในการใช้งาน และที่สำคัญปลอดภัยในการใช้งานด้วย ทั้งหมดน่าจะเป็นสาเหตุให้คุณน่าจะยอมจ่ายเงินนิดๆ หน่อยๆ เพื่อใช้ VPN ที่ดีกว่า

ที่มา : GBHackers