หน้าแรก Networking & Wireless ทำความรู้จักกับ “4.5 G” ความเร็ว แรง ที่เหนือกว่าเดิม 3 เท่า

[บทความ] ทำความรู้จักกับ “4.5 G” ความเร็ว แรง ที่เหนือกว่าเดิม 3 เท่า

แบ่งปัน

การสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงได้เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานและไลฟ์สไตล์ของผู้คนทั่วโลกไปอย่างสิ้นเชิง และกลายเป็นรากฐานทั้งหมดในการดำเนินชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน จึงก่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น สำหรับระบบ 5G ซึ่งให้ความเร็วสูงถึง 10 Gbps เลยนั้น ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาและกำหนดมาตรฐานร่วมกันอยู่นั้น

ผู้ให้บริการจึงได้ออกแบบเทคโนโลยี 4.5G หรือ LTE-Advanced ขึ้นมา ซึ่งล้ำหน้าและรวดเร็วกว่า 4G เดิมถึง 3 เท่า แต่การจะเปลี่ยนประเทศไทยสู่ยุค 4.5G ที่แท้จริงได้นั้น เราจะต้องพัฒนาเทคโนโลยีโทรคมนาคมทั้งระบบตั้งแต่

– สถานีฐานรับส่งสัญญาณ
– คลื่นความถี่หรือช่องรับสัญญาณ
– และมือถือหรืออุปกรณ์ที่เราใช้งาน

ให้มีความสามารถในการรับส่งดาต้าที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นรวดเร็วมากขึ้น ใช้เวลาที่น้อยลงและที่สำคัญ สัญญาณจะต้องครอบคลุม และใช้ได้จริงทั่วไทย ทั้งนี้ ในการที่จะให้บริการ 4.5G นั้น ผู้ให้บริการเครือข่ายจะต้องมีเทคโนโลยีพื้นฐาน ดังนี้

เทคโนโลยีสถานีฐาน แบบ 4T4R (4 Transmit 4 Receiver)
ด้วยสถานีฐานแบบใหม่นี้จะทำให้การรับส่งดาต้าเร็วมากขึ้น รับส่งไฟล์ที่มีขนาดใหญ่มากๆ ได้ดีขึ้น และยังรองรับรูปแบบการใช้งานใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

สถานีฐานแบบ 4T4R หรือที่เราได้ยินบ่อยๆ ว่า 4×4 MIMO คือสถานีฐานที่เพิ่มความสามารถในการรับส่งดาต้าจากเดิมที่ทำได้เพียง 2 ช่องสัญญาณ เพิ่มเป็น 4 ช่องสัญญาณ นั่นหมายความว่าการใช้งาน อินเทอร์เน็ตที่ใช้ไฟล์หนักๆ เช่น การ Multi VDO conference, Facebook Live หรือการดู VDO Streaming ที่ความละเอียดระดับ 4K ก็จะทำให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีมากขึ้น

เทคโนโลยีการรวมคลื่นความถี่ (Carrier Aggregation)
การรวมคลื่นนี้เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาช่องสัญญาณในการรับส่งข้อมูลให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น ด้วยการนำคลื่นความถี่ที่ให้บริการ LTE มารวมกันเป็นช่องสัญญาณที่ใหญ่มากขึ้น ยิ่งรวมคลื่นได้มาก ก็จะยิ่งทำให้เน็ตมีความเร็วมากขึ้น

หากนำคลื่นมารวมกัน 2 คลื่น เราเรียกว่า 2CA หากนำคลื่นมารวมกัน 3 คลื่น เราเรียกว่า 3CA ซึ่งปัจจุบันในประเทศสามารถนำคลื่นมารวมกันได้มากที่สุดอยู่ที่ 3 คลื่น หรือ 3CA นั้นเอง แต่การจะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ ผู้ให้บริการจะต้องมีปริมาณคลื่นความถี่ที่มากพอด้วย

สมาร์ทโฟนหรือดีไวซ์ที่รองรับเทคโนโลยี 4.5G
หลายๆ คน คงยังอาจไม่ทราบว่า สมาร์ทโฟนที่เราใช้กันในแต่ละรุ่นมีความสามารถในการรับความเร็ว 4G ได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสเป็คของแต่ละรุ่นว่า มีสเป็คที่รองรับ CA และ MIMO ได้แค่ไหน รุ่นที่มีสเป็ครองรับ CA สูงๆ ก็จะยิ่งรับความเร็วเน็ตได้มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน มือถือที่รองรับเทคโนโลยี CA สูงสุดอยู่ที่ 3CA ได้แก่ iPhone 7 และยังมีอีกหลายรุ่นในท้องตลาด แต่ถึงแม้ว่าคุณจะใช้รุ่นที่มีสเป็คต่ำกว่านี้ ก็จะยังสามารถใช้เทคโนโลยี 4.5G ได้ เพียงแต่ความเร็วเน็ตก็จะลดลงตามสเป็คของแต่ละรุ่นนั่นเอง

4-5g2

เทคโนโลยี 4.5G นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องความเร็ว และแรงในการสื่อสารแบบไร้สายแล้วนั้น ยังต่อยอดไปยังการพัฒนา IoT หรือ Internet of Things ก่อให้เกิดธุรกิจและบริการรูปแบบใหม่ๆ ที่สั่งการโดยระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทสำคัญเชิงธุรกิจในอนาคต

ประเทศที่เริ่มเปิดให้บริการ 4.5G เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการแล้ว ได้แก่ ออสเตรเลีย ตุรกี เกาหลี และอยู่ระหว่างทดลองให้บริการในอีกหลายๆ ประเทศ อาทิ แคนาดา สเปน เดนมาร์ก ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และสมาร์ทดีไวซ์รุ่นใหม่ๆ เช่น iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ได้ออกแบบให้รองรับเทคโนโลยี 4.5G เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับประเทศไทย ทรูมูฟ เอช ได้เปิดตัวบริการ 4.5G เชิงพาณิชย์ ระบบมาตรฐานโลกที่ใช้งานได้จริงแล้ววันนี้ โดยได้ขยายสัญญาณ 4.5G ครอบคลุมมากที่สุดในไทย มีสถานีฐานประเภท 4T4R จำนวน 7,000 สถานี ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในโลก รับรองโดยสถาบัน Global Mobile Suppliers Association สถาบันที่มีบริษัทโทรคมนาคมทั่วโลกเป็นสมาชิกกว่า 521 บริษัท และเป็นรายแรกในไทยที่ขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมเข้าถึงกว่า 98% ของประชากรไทย โดยใช้เวลาเพียง 9 เดือน นับจากวันที่ได้รับคลื่น 900 MHz และ 1800 MHz เข้ามาเสริม โดยทรูมูฟ เอช ได้ลงทุนด้านเน็ตเวิร์คถึง 57,000 ล้านบาท ทั้งยังมีความพร้อมเดินหน้าสู่ยุค 5G ที่กำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารของไทยให้ล้ำหน้าเทียบเท่านานาประเทศทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

บทความโดย ดร.กิตติณัฐ ทีคะวรรณ
หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่ม ด้านการพาณิชย์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น